เดือน: สิงหาคม 2022

เดี๋ยวนี้อาหารตามท้องตลาดนั้นมาในหลายรูปแบบ มองอะไรจากภายนอกอย่างเดียวไม่ได้เลย ยิ่งอะไรที่ดูดีเท่าไหร่ ยิ่งต้องดูให้ดีว่าปลอดภัยหรือเปล่า วิธีเลือกที่ปลอดภัยที่สุดนะคะคือการเลือกอาหารที่ถูกแปรรูปน้อยที่สุด และมีที่มาที่เป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ นี่คือ 5 เหตุผลที่เพื่อนๆควรลองหันมาเลือกรับประทานผักออแกนิคกันนะคะ

1. ลดภัยจากสารเคมีตกค้าง

เพื่อนๆทราบมั้ยคะว่าผักผลไม้ที่มีน่าตาดูน่ารับประทานนั้นต้องผ่านสารเคมีมากี่ชนิดบ้าง? เริ่มตั้งแต่การเตรียมดินกันเลยนะคะ เกษตรกรส่วนใหญ่จะมีการพักแปลง หรือการพักดินหลังจากการเก็บเกี่ยวพืชผักไปแล้ว เมื่อเกษตรกรจะเริ่มทำการปลูกผักผลไม้ใหม่จะต้องมีการกำจัดหญ้าที่ขึ้นปลกคุมแปลงผักผลไม้ก่อน ซึ่งคุณน้าเกษตรกรบางท่านนิยมที่จะให้ยาฆ่าหญ้า มากกว่าการถางเพราะมีความสะดวกรวดเร็วกว่า และในขั้นตอนการปลูก ผักผลไม้เหล่านี้ก็จะถูกรักษาสภาพความน่ารักประทานไว้าด้วยสารเร่งต่างๆ และย่าฆ่าแมลง ซึ่งสารเคมีเหล่านี้จะถูกดูดซึมและตกค้างอยู่ในผักผลไม้ที่เพื่อนๆเลือกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ การสะสมของสารเคมีเหล่านี้ก็จะมาสะสมอยู่ในร่างกายของเราเมื่อเรารับประทานผักผลไม้เหล่านี้ ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นหมัน และโรคมะเร็งเป็นต้น

2. คุณภาพคับผลของพืชผักออร์แกนิค

ผักผลไม้ออร์แกนิคนั้นนอกจากจะปลอดภัยต่อสุขภาพของเพื่อนๆแล้ว เพื่อนๆยังได้รับสารอาหารและวิตามินมากกว่าผักผลไม้ที่ปลูกด้วยสารเคมีอีกด้วย ผลการวิจัยจาก The Soil Foundation ประเทศอังกฤษพบว่าผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์นั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าผลผลิตจากเกษตรเคมีอย่างเห็นได้ชัด เข่น ผลิตผลออร์แกนิคมีปริมาณแคลเซี่ยมมากกว่าเกษตรเคมีถึง 68% แมกนีเซียมมากกว่า 118% และให้ธาตุเหล็กมากกว่าถึง 78% ใครจะไปรู้นะคะว่าผักผลไม้น่าตาคล้ายกัน แต่ประโยชน์ทางโภชนาการกลับต่างกันมากขนาดนี้

3. รักษาระบบนิเวศน์

อาจจะเป็นหัวข้อที่ฟังดูน่าเบื่อสำหรับใครหลายคน แต่เชื่อหรือไม่คะว่าสังคมมนุษย์ที่เพื่อนๆรู้จักนี้ ต้องพึ่งพาการทำงานของระบบนิเวศน์และวงจรชีวิตที่ถูกออกแบบมาอย่างลงตัวโดยธรรมชาติ การใช่สารเคมีในการเกษตรนั้นนอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเพื่อนๆและคนรอบตัวแล้ว สารเคมีเหล่านี้ยังเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศน์อีกด้วยค่ะ เมื่อเกษตรกรใช้สารเคมีในการกำจัดแมลง หรือโรคต่างๆ สิ่งที่ตามมาคือการสูญเสียความมมั่นคงของระบบนิเวศน์ในบริเวณนั้นๆ เพราะแมลงหรือโรคเหล่านี้จะทำการดื้อยา ทำให้เกษตรต้องใช้ปริมาณสารเคมีที่มากขึ้น ที่ร้ายไปกว่านั้นสารเคมีเหล่านี้ได้ทำลายแมลงที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืชพรรณเหล่านั้นไปด้วย ทำให้บ่วงโซ่อาหารที่สมบูรณ์ถูกทำลายลง

4. รสที่แตกต่างของธรรมชาติ

เพราะว่าผักผลไม้ออร์แกนิคได้เติบโตขึ้นในดินที่อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตและจูลลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมายทำให้ผักผลไม้เหล่านี้มีรสที่หอมหวานตามธรรมชาติ อันที่จริงเนื้อสัตว์ออร์แกนิคก็เช่นกันนะคะ รสชาติและความเเน่นของเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงโดยวิถีธรรมชาติจะมีรสที่อร่อยกว่า และเนื้อที่แน่นกว่าเนื้อสัตว์กรงอย่างมาก

5. ช่วยสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกร

การเกษตรไทยถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจบ้านเราเลยก็ว่าได้นะคะ โดยที่คุณลุงคุณน้าเหล่านี้จะต้องประสบปัญหาทางสุขภาพหลายอย่างจากการใช้สารเคมีในการปลูกพืชผักเคมี เนื่องจากพ่อค้าคนกลางที่จะทำการคัดเลือกผลิตผลจากสวนมาขายในตลาดที่เพื่อนๆซื้อนั้น ต้องการแต่ผลไม้ที่ไม่มีตำหนิและดูน่ารับประทานเท่านั้น ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีเพื่อให้ได้ผลิตผลที่จะมีคนรับซื้อนำไปขายต่อไป หากเราพร้อมใจกันเปลี่ยนมาทานอาหารออร์แกนิค ไม่เพียงแต่สุขภาพของเราเองแต่เรายังจะทำให้สุขภาพของคุณน้าเกษตรกรดีขึ้นด้วยนะคะ

โรคสะเก็ดเงิน เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน และการทำงานของเม็ดเลือดขาวที่เพิ่มขึ้นทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วกว่าปกติ การเจริญเติบโตและพัฒนาการของผิวหนังจึงไม่สมบรูณ์ อาการที่พบคือ เป็นปื้นนูนแดงปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงิน ผื่นแดงหนา เมื่อขูดลอกสะเก็ดออกจะพบจุดเลือดเล็กๆ ใต้ผิวหนัง มักพบบริเวณข้อศอก เข่า หลังส่วนล่าง และหนังศรีษะ ผื่นอาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่กระจายทั่วร่างกาย สะเก็ดเงิน โรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ผิวหนังอย่างรวดเร็วกว่าปกติโดยการกระตุ้นของสารเคมีจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) ชนิดเซลล์ที (T-cell) ทำให้เกิดการอักเสบจนเกิดเป็นผื่นหนาขนาดใหญ่ มีลักษณะสีเงินและแดงที่ผิวหนังได้ทั่วร่างกาย โรคนี้สามารถเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย

สาเหตุการเกิด สะเก็ดเงิน ยังไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วกว่าปกติ อาการจากโรคสะเก็ดเงินอาจสร้างความรำคาญและส่งผลต่อบุคลิกภาพ ซึ่งทำให้ผู้ที่เป็นสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน การปรึกษาแพทย์ผิวหนังและดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยควบคุมและบรรเทาอาการของโรคสะเก็ดเงินได้ รวมทั้งทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

วิธีดูแลตัวเองเพื่อรักษาสะเก็ดเงิน

การรักษาสะเก็ดเงินอาจแตกต่างกันตามความรุนแรงของโรค หากความรุนแรงน้อยจะรักษาด้วยการใช้ยาทาผิว เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) อนุพันธ์วิตามินดี และเรตินอยด์ (Retinoids) ควบคู่กับการดูแลตัวเองซึ่งจะช่วยให้อาการทุเลาลงได้ ดังนี้
1. การดูแลผิว
ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินควรดูแลผิวด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
– ระมัดระวังไม่ให้เกิดแผลหรืออาการบาดเจ็บที่ผิวหนัง เช่น แมลงกัดต่อย รอยถลอกขีดข่วน
– อาบน้ำอุ่นและใช้สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิว และการแช่น้ำอุ่นที่ผสมน้ำมันสำหรับอาบน้ำ ข้าวโอ๊ต หรือดีเกลือลงในอ่างอาบน้ำเป็นเวลา 5–15 นาทีจะช่วยลดผิวแห้งและคันได้ ควรอาบน้ำอุณหภูมิปกติ
– ซับผิวเบา ๆ ให้แห้งพอหมาด จากนั้นทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้งหลังอาบน้ำ เพราะผิวที่แห้งจะยิ่งทำให้เกิดอาการคันมากขึ้นและทำให้ผิวหายช้าลง
– ไม่แกะหรือเกาบริเวณแผล หากรู้สึกคันให้ประคบเย็นซึ่งจะช่วยลดอาการคันได้
– สัมผัสแสงแดดอ่อน ๆ โดยรังสียูวี (UV) อาจช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์ผิวและช่วยในการบรรเทาอาการสะเก็ดเงิน ทั้งนี้ หากแดดจ้าควรทาครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแสงแดดจัดเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ผิวไหม้แดด ซึ่งทำให้อาการของโรคสะเก็ดเงินรุนแรงขึ้น และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง

2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อาหารอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายและทำให้อาการของโรคสะเก็ดเงินกำเริบขึ้นได้ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ ธัญพืชขัดสีน้อย ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ปลาทะเล ถั่วและเต้าหู้ที่มีโปรตีนสูง รวมทั้งน้ำมันมะกอกและน้ำมันมะพร้าวที่มีโอเมก้า 3 และ 6 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบในร่างกายอาจช่วยรักษาสะเก็ดเงินให้ดีขึ้นได้

ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินอาจหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อแดง โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อสัตว์แปรรูป ไข่ นม อาหารที่มีกลูเตน (Gluten) เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และมอลต์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ น้ำตาล และโซเดียมสูง

3. พักผ่อนให้เพียงพอ
ผู้ป่วยสะเก็ดเงินมักมีอาการคันหรือเจ็บผิวหนังจนไม่สามารถหลับได้ อย่างไรก็ตาม การพักผ่อนไม่เพียงพออาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำให้อาการของโรคสะเก็ดเงินรุนแรงขึ้น รวมทั้งทำให้เกิดความเครียดและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งวิธีที่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น ได้แก่
– การออกกำลังกายเป็นประจำ
– ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำกิจกรรม เช่น เล่นโยคะ นั่งสมาธิ
– หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปริมาณมากและการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนเข้านอน
– เข้านอนให้เป็นเวลาทุกคืน
– เลือกสวมชุดนอนที่นุ่มสบาย และทาครีมบำรุงผิวเพิ่มความชุ่มชื้นก่อนนอน ซึ่งช่วยให้รู้สึกสบายผิวและนอนหลับได้ดีขึ้น

4. ไปพบแพทย์ตามนัด
การรักษาสะเก็ดเงินเป็นสิ่งที่ต้องทำในระยะยาวเพื่อควบคุมไม่ให้อาการของโรคกำเริบขึ้นอีก ผู้ป่วยจึงควรไปพบแพทย์ผิวหนังทุกครั้งตามที่นัดหมาย และปฏิบัติตามวิธีการรักษาที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เพราะผู้ป่วยสะเก็ดเงินอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคตา โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันได้